สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์

19/2/56

ผู้ที่วางแผนเกษียณ

คำถามรอบโลกในนิตยสาร ‘รีดเดอร์ส ไดเจสท์’ ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เผยแพร่ความเห็นของผู้คนทั่วโลกจากการสำรวจในประเด็นที่ว่า “จะเกษียณเมื่อไหร่ดี” พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่บอกว่า จะยังไม่เกษียณจนกว่าจะอายุ 65 หรือมากกว่านั้น มีเพียง 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย แคนาดา และไทย ที่ผู้คนส่วนใหญ่วางแผนเกษียณก่อนอายุ 65 ปี โดยมาเลเซียมีสัดส่วนสูงสุดถึง 67% แคนาดา 56% และประเทศไทย 37%





ผู้ที่วางแผนเกษียณก่อนอายุ 65 ให้เหตุผลคล้ายๆ กันว่า เพราะต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายในการเดินทางท่องเที่ยวและพักผ่อนยามแก่ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ต้องมีเงินเก็บและบริหารเงินไว้จะได้ไม่ลำบาก
ขณะที่คนส่วนใหญ่ในหลายประเทศตอบว่า จะเกษียณหลังอายุ 65 ปีหรือมากกว่า ประกอบด้วย แอฟริกาใต้ ที่มีสัดส่วนสูงสุดถึง 53% ตามมาด้วยสเปน 50% บราซิล 48% เนเธอร์แลนด์ 47% สหรัฐอเมริกา 46% รัสเซีย 45% สหราชอาณาจักร 45% ฝรั่งเศส 43% เยอรมนี 42% และออสเตรเลีย 39%
ส่วนอีก 3 ชาติ ต้องบอกว่า ‘ใจเด็ด’ มาก เพราะคนส่วนใหญ่ตอบแบบสอบถามว่า จะทำงานแบบ ‘ไม่เกษียณ’ โดยเม็กซิโกมีสัดส่วนถึง 49% อินเดีย 44% และฟิลิปปินส์ 42% ด้วยเหตุผลน่ารักๆ เช่น “ผมคิดว่าจะไม่เกษียณหรอก การทำงานทำให้ผมรู้สึกหนุ่มขึ้น” และเหตุผลที่จริงจัง อย่างหนุ่มชาวเม็กซิโก ที่บอกว่า “ผมไม่มีแผนเกษียณอายุ เพราะระบบประกันสังคมในประเทศนี้แย่ลงมาก”
แต่ไม่ว่าจะเกษียณเมื่อไหร่ หรือจะทำงานแบบไม่เกษียณ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกัน ก็คือ การเตรียมเงินไว้สำหรับรองรับอนาคตของตัวเองในวันที่ไม่มีรายได้ เพราะแม้เราจะตั้งใจทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ แต่สุดท้ายแล้ว มันต้องมีวันที่เราทำงานไม่ไหว และเป็นวันที่เราไม่มีรายได้
เขียนถึงตรงนี้อยู่ๆ ก็นึกถึงเพลง “เรื่อยๆ ไปจนแก่” ซึ่งนักแสดงหนุ่มเซอร์สุดติสต์อย่าง “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” ร้องเป็นเพลงประกอบละครได้อย่างยียวนมาไม่ใช่น้อย
เราอาจจะรักใคร หรืออยู่ร่วมกับใครไปจนแก่ได้ แต่เราไม่สามารถทำงาน หาเงิน มีรายได้จากการทำงานแบบเรื่อยๆ ไปจนแก่ได้ แม้จะตั้งใจหรือมุ่งมั่นแค่ไหน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับไว้จึงดีที่สุด
อย่างคุณผู้อ่านท่านนี้ ซึ่งส่งเมลมาถามคำถาม ก็เป็นหนึ่งในคนที่เตรียมตัวรับกับการเกษียณ ประเด็นที่ต้องการทราบก็คือ รายละเอียดของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นคนเงินเดือนน้อย จะซื้อได้หรือไม่ เพราะอยากเก็บเงินไว้ใช้ในตอนเกษียณ ปัจจุบันนี้อายุ 47 ปีแล้ว
คำแนะนำที่ให้ได้ ก็คงเป็นข้อเท็จจริงและข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุน ที่คุณต้องลองไปประเมินดูเองว่า เหมาะกับเราหรือไม่และอย่างไร
เริ่มต้นจากกองทุนอาร์เอ็มเอฟและแอลทีเอฟ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากกองทุนประเภทอื่นๆ ที่จัดตั้งขึ้นด้วยการนำเงินลงทุนของผู้ต้องการลงทุนมารวมกันเป็นก้อนโตๆ แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาเป็นนโยบายลงทุน จะลงทุนในหุ้น หรือลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนในพันธบัตร ก็ว่ากันไป แต่ที่แตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ก็คือ ทั้งอาร์เอ็มเอฟและแอลทีเอฟ เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับผู้ที่มีรายได้และต้องเสียภาษี ก็สามารถนำเงินที่ลงทุนในกองทุนมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้
ดังนั้น หากต้องการใช้ประโยชน์สูงสุดจากกองทุนอาร์เอ็มเอฟและกองทุนแอลทีเอฟ ก็ต้องเริ่มต้นที่เราต้องมีภาระภาษีเสียก่อน ถ้าแต่ละปีไม่ต้องเสียภาษี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนในกองทุนอาร์เอ็มเอฟและแอลทีเอฟ เพราะนอกจากจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรจะเป็นแล้ว ยังต้องติดเงื่อนไขเรื่องที่จะขายได้ก็ต่อเมื่อต้องถือกองทุนให้ครบ 5 ปีนับจากวันที่ลงทุนสำหรับกองทุนแอลทีเอฟ และขายคืนได้เมื่อถือกองทุนต่อเนื่องครบ 5 ปี โดยมีอายุครบ 55 ปีสำหรับกองทุนอาร์เอ็มเอฟ ถ้าปีนี้คุณอายุ 47 ปี คุณก็ต้องลงทุนให้ครบ 5 ปีสำหรับอาร์เอ็มเอฟ จนคุณอายุ 52 ปี แต่ก็ไม่สามารถขายคืน เพราะต้องรออีก 3 ปี จนกว่าจะอายุครบ 55 ปี
จากข้อมูลที่บอกว่า “เงินเดือนน้อย” ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่า เงินเดือนน้อยที่ว่านั้น เข้าข่ายต้องเสียภาษีเพิ่มเติมหรือไม่ และเรามีรายการลดหย่อนอย่างอื่นที่พอเพียงอยู่แล้วหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ประโยชน์ตรงนี้ ก็มองข้ามทั้งอาร์เอ็มเอฟและแอลทีเอฟไป แต่หากว่า มีภาระต้องเสียภาษี ก็สามารถเข้าลงทุนได้ โดยยอมรับเงื่อนไขการถือครองที่ระบุไว้
ส่วนคำแนะนำเพิ่มเติมนั้น ลองพิจารณาความเห็นจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ที่บอกว่า การลงทุนในแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟให้ได้ประโยชน์สูงสุด ผู้ลงทุนควรประเมินตนเองก่อนว่าอยากลงทุนนานแค่ไหน ในสินทรัพย์ประเภทใดบ้างและในสัดส่วนเท่าไหร่ ซึ่งแบบประเมินความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนทุกคนต้องทำก่อนซื้อกองทุนรวมเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้ เพราะความเสี่ยงของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
สามารถหาข้อมูลข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามธนาคารต่างๆหรือจะลองหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ประกอบก่อนการตัดสินใจ ซึ่งที่ไม่ได้นำมาอธิบายไว้ในตรงนี้ก็เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ผู้ลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติม หรือสามารถคุยกับเจ้าหน้าที่ของกองทุนรวมที่เราสนใจไปลงทุน แต่ไม่ว่าจะเป็นกองทุนอาร์เอ็มเอฟหรือแอลทีเอฟ ผู้ลงทุนก็ต้องเริ่มต้นจากความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่ไปลงทุนก่อน และหากจะเลือกกองทุนรวมของบริษัทจัดการกองทุนรายใด ก็เลือกจากความสะดวกของตัวเอง เช่น ถ้าต้องการทำรายการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ก็เลือกบริษัทที่ให้บริการทางอินเทอร์เน็ต มีการพัฒนาเว็บไซต์แบบดูง่าย เข้าใจง่าย แต่หากต้องการทำรายการผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ก็เลือกธนาคารที่เราเดินทางไปมาสะดวก หรือมีพนักงานที่ให้ข้อมูลตอบคำถามแบบที่เราต้องการ
เรื่องเงินน้อยหรือมากไม่ใช่ปัญหาสำหรับการออมและการลงทุน เพราะเริ่มต้นแค่พันหรือสองพันบาท ก็สามารถออมและลงทุนได้แล้ว ที่อาจจะติดขัดอยู่บ้างก็ตรงการเริ่มต้นออมและลงทุนเพื่อรับวัยเกษียณเมื่ออายุล่วงเลยมาถึง 47 ปีแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่า ช้าไปสำหรับการเริ่มต้น แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่มต้นเลย ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นช้า ก็อาจจะต้องยอมรับการไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือต้องลดเป้าหมายที่ตั้งไว้ลง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงให้มากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น: